หากเป็นคุณพ่อคุณแม่บ้านอื่นๆ ที่เริ่มต้นมีลูก สิ่งที่ต้องวางแผนอันดับแรกๆ ให้กับลูกก็คือการมองหาและเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับลูกใช่ไหมล่ะค่ะ ซึ่งต่างจากครอบครัวศรียะพันธ์ ที่มีความตั้งใจจะจัดการเรียนแบบ Homeschool (บ้านเรียน) เพราะไม่เชื่อว่าการเรียนวิชาการในห้องเรียนจะตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการทำงานในอนาคตได้ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดการศึกษาแบบ Homeschool ให้กับลูกชายทั้ง 2 คน มาเป็นระยะเวลาราวๆ 10 ปีแล้วค่ะ
10 ปีของการศึกษาแบบ Homeschool เป็นอย่างไร ทำไมลูกชายทั้ง 2 คน คือ น้องเข้ม และ น้องคราม ถึงมีความฝันอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ การวางแผนการก้าวสู่อาชีพโปรแกรมเมอร์ของเด็ก Homeschool ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง พี่น้ำจะพาไปฟังประสบการณ์การจัดการเรียนแบบ Homeschool ของแม่โอ๋ นางวิธวดี ศรียะพันธ์ คุณแม่ของ น้องเข้ม นายศิศิร ศรียะพันธ์ วัย 15 ปี และน้องคราม ด.ช.ศิขรา ศรียะพันธ์ วัย 12 ปี กันค่ะ
เริ่มต้นก็ต้องบอกก่อนนะคะว่าครอบครัวนี้เป็นครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่ง ที่มีคุณพ่อเป็นโปรแกรมเมอร์ และมีคุณแม่เป็นแม่บ้านนะคะ แม้ครอบครัวนี้จะมีความตั้งใจจะจัดการศึกษาแบบ Homeschool ตั้งแต่แรก แต่ใช่ว่าครอบครัวนี้จะปฏิเสธการศึกษาในระบบเสียทีเดียวนะคะ เพราะน้องเข้มลูกชายคนโตได้เคยเข้าเรียนโรงเรียนในระดับชั้นอนุบาลมาก่อน แม้จะเลือกเรียนในโรงเรียนทางเลือกที่ไม่ได้เน้นวิชาการ แต่สุดท้ายครอบครัวก็มองว่าการเรียนในระบบยังไม่ตอบโจทย์ทางการเรียนรู้อย่างแท้จริง นี่จึงเป็นที่มาของการเริ่มต้นทำ Homeschool อย่างจริงจังอีกครั้ง
เริ่มต้น Homeschool ด้วยการจัดการศึกษาตามความสนใจของเด็กเป็นหลัก
Homeschool ในแบบฉบับของบ้านเข้มคราม เริ่มต้นด้วยการจัดการศึกษาตามความสนใจของลูกๆ เป็นหลัก สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือบ้านนี้จะจัดกิจกรรมหลากหลายเพื่อให้เด็กได้ค้นหาความสนใจของต้นเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำนา การเขียนโปรแกรม และการเล่นกีฬาอย่างเรือใบ
![](https://school.dek-d.com/blog/wp-content/uploads/2018/08/36675543_2046567598728005_3992099435080318976_n.jpg)
![](https://school.dek-d.com/blog/wp-content/uploads/2018/08/29683581_1933645066686926_2219282315639521280_n.jpg)
![](https://school.dek-d.com/blog/wp-content/uploads/2018/08/36726424_2046519032066195_3953607315403309056_n.jpg)
“น้องเข้มเมื่อตอนเด็กๆ อยากเป็นนักขุดกระดูกไดโนเสาร์ อยากเป็นเกษตรกร พออายุ 12 ปี ช่วง ม.1 ก็มีความสนใจตามพัฒนาการ ความสนใจก็เปลี่ยนไป ก็เริ่มอยากหาตัวตนของตัวเอง เริ่มมองหาความเป็นตัวเอง ก็เห็นพ่อทำงานเกี่ยวกับสอนคอมพิวเตอร์ ก็สนใจในการเขียนโปรแกรมมิ่งมากขึ้น และอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ ”
การจัดการเรียน Homeschool ของบ้านเข้มครามทำอย่างไร?
การจัดการเรียนของบ้านเรียนเข้มครามไม่ได้เน้นวิชาการ และไม่เน้นว่าเด็กจะต้องอ่านออกเขียนได้ ไม่ได้ยึดติดกับแบบแผนใดๆ แต่เน้นวิธีคิด และการแสดงความคิดเห็นร่วมกันในครอบครัว
“ตอนแรกๆ ยังทำไม่ถูกแนว ไปเอาแบบเรียนมาทำ ซึ่งไม่ต่างจากไปโรงเรียน แล้วจะเรียกว่าทำ Homeschool ได้อย่างไร คราวนี้เราเลยเริ่มใหม่ ใช้กระบวนการคิด เป็นการเรียนผ่านการเล่นและท่องเที่ยว โตจากประสบการณ์จากการท่องเที่ยว เพราะฉะนั้นเราก็พากันเที่ยว พาเล่น และทำกิจกรรม”
เมื่อโตขึ้นรูปแบบการเรียนก็เปลี่ยนไป
![](https://school.dek-d.com/blog/wp-content/uploads/2018/08/25157971_1797878123596955_9047294722762088059_n.jpg)
“ตอนเล็กๆ สอนเองด้วย แล้วก็ไปจับกลุ่มกับเด็กโฮมสคูลคนอื่นๆ เรียนกับครูด้วยกัน พอโตขึ้นแม่ไม่กล้าสอน ต้องถอยออกมาเป็นผู้จัด วิชาคณิตศาสตร์พ่อจะสอนเอง ส่วนภาษาไทย สังคม อ่านหนังสือเอา ส่วนวิทยาศาสตร์เราใช้การจัดกลุ่ม พอเริ่มโตขึ้นก็ใช้การเรียนออนไลน์ร่วมด้วย ให้เริ่มเรียนด้วยตัวเอง นอกจากนี้เราเน้นไปในเรื่องของการคิด วิเคราะห์ เราจะคุยกันบ่อยมาก เรื่องข่าว เรื่องความเป็นไปของโลก หรือเหตุการณ์สำคัญ เราก็จะคุยถกกัน เหมือนผู้ใหญ่นั่งคุย ว่าลูกคิดอย่างไร แม่เห็นยังไง พ่อเห็นยังไง ก็นั่งคุยกัน ไม่มีบทสรุปเพราะทุกคนมีวิธีคิดเป็นของตัวเอง”
![](https://school.dek-d.com/blog/wp-content/uploads/2018/08/25660384_1817182748333159_7708080506417973365_n.jpg)
![](https://school.dek-d.com/blog/wp-content/uploads/2018/08/479701_490036024381178_19712300_n.jpg)
จากการเรียนแบบ Homeschool ที่ครอบครัวศรียะพันธ์ปูพื้นฐานการเรียนรู้นอกห้องเรียนมาตลอด ก็ทำให้ลูกชายทั้ง 2 คนที่สนใจในเรื่องการเขียนโปรแกรม สามารถพัฒนาความรู้และเป็นเมนเทอร์สอนในคลาส Coderdojo คลาสสอนเขียนโปรแกรมของคุณพ่อได้ ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ภาพการเป็นโปรแกรมเมอร์ของน้องเข้มชัดเจนขึ้น
![](https://school.dek-d.com/blog/wp-content/uploads/2018/08/23844543_1778497662201668_3043194013429367682_n.jpg)
“พ่อก็เริ่ม ทำ Coderdojo ทำกันมาปีกว่า เข้มมีพื้นฐานก็ไปเป็นเมนเทอร์ เข้มก็เข้าไปเป็นผู้จัด คนที่มาเรียนเราจะเรียกว่านินจา คนที่มาเรียนวันนี้พรุ่งนี้อาจจะเป็นเมนเทอร์ได้ ด้วยหลักการของ Coderdojo คือว่า เราจะไม่สอน แต่จะให้ผู้ที่เข้ามาเรียนหาความรู้ด้วยตัวเอง ก็เลยเป็นแนวทางของเขาที่เข้ามาช่วย พอมาทำ Coderdojo ได้ปีกว่า ก็มองว่ามันมีแนวทาง อนาคตเค้าก็น่าจะเป็นโปรแกรมเมอร์ก็ทำตรงนี้นั่นแหละ”
เมื่อน้องเข้มตั้งเป้าว่าจะทำอาชีพโปรแกรมเมอร์ วันนี้ครอบครัวจึงเริ่มต้นวางแผนการเรียนเพื่อให้น้องเข้มได้เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยใน คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคณะที่น้องเข้มสนใจ
“เขาคุยกับพ่อว่า นี่ ม.4 แล้ว จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ต้องเรียนอะไรบ้าง เพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัย ต้องรู้วิชาอะไรบ้าง ฟิสิกส์ไหม คณิตศาสตร์ ไหม ภาษาอังกฤษไหม ก็มานั่งคุยกับพ่อแล้ววางแผนการเรียน ว่าจะต้องมีวิชาไหนบ้าง ตอนนี้ก็ยังเรียนด้วยตัวเอง วางแผนเป็นสเต็ป พ่อเขาก็หาคลาส ดูเนื้อหาว่าควรจะดูตรงไหน เข้าใจอะไร ติดตรงไหน โดยจะไม่ใช้การติว”
3 ปีต่อจากนี้เตรียมเก็บพอร์ตฟอลิโอผลงาน เพื่อใช้ในการสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัย
“จริงๆ ไม่เข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ รู้อยู่แล้วว่าอยากเป็นอะไร วันนี้มีอาชีพแล้ว จริงๆ มหาวิทยาลัยก็ไม่จำเป็น เพราะไม่ได้คาดหวังเรื่องของปริญญา วันนี้ถามว่าแอบเครียดไหม แอบเครียดถ้าลูกจะเป็นจริงๆ ถ้าไม่ได้เป็นจะไปไหนต่อ มีแผนสองไหม แล้วแผนแรกถ้าลูกอยากไปจริงๆ ตั้งเป้าไว้ที่ไหน สมมุติว่ามองที่เกษตรฯ จุฬาฯ ลูกต้องมีคะแนนเท่าไร แต่ตอนนี้ก็มีหลายมหาวิทยาลัยที่เปิดรับตรง และเปิดโอกาสให้เด็กบ้านเรียนที่มีผลงาน ยื่นพอร์ตฟอลิโอ ซึ่งเราสนใจเส้นทางนี้มากกว่าว่าคุณเรียนแล้วเก็บข้อมูลไว้ได้ไหม ถ้าไม่ยอมทำพอร์ตฟอลิโอ ก็จะไม่มีอะไรไปบอกใครเขาเลยนะว่ารู้อะไรบ้าง ตอนนี้พ่อก็มาเข้มงวดเรื่องนี้ คือถ้าทำก็เอาขึ้นมาให้เป็นร่องรอย เพื่อที่จะให้พ่อรู้ด้วย แม่รู้ด้วย คนอื่นจะได้รู้ด้วย แล้วเอาตรงนี้ไปคุยกับคนอื่นได้ว่า เรารู้จริงๆ ก็ไปเข้มงวดเรื่องการเก็บร่องรอยมีเวลา 3 ปี ต้องเร่งมือ”
ขณะที่น้องครามลูกชายคนเล็กก็เริ่มอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ตามรอยพี่ชาย
“ลูกชายคนเล็กทำอะไรก็ทำได้ ถามว่าความสนใจเป็นยังไง ก็คิดว่าเป็นแบบนี้แหละ เป็นโปรแกรมเมอร์ แต่เขายังหาตัวเองไม่ชัด ยังหาตัวเองไม่เจอ เล่นกีฬาก็เล่นได้ คือมันเหมือนเป็ดให้ทำอะไรก็ทำได้เลย แต่เขาก็บอกว่าเขาชอบด้านความคิดสร้างสรรค์ เขาบอกว่าเขาไปสอนรวมกลุ่มกับเพื่อน ชอบการจัดการคน เขารู้ว่าชอบตรงนี้ ชอบการสื่อสาร ชอบที่จะสรุป ตรงนี้แม่โอ๋ก็เลยลองให้เขาเขียนบันทึกแบบไหนที่จะถูกใจ แบบไหนที่จะชอบ เพราะจริงๆ แล้วในโลกนี้มีอาชีพอะไรใหม่ๆ มากขึ้นตั้งเยอะ”
จะเห็นว่าน้องเข้มลูกชายคนโตก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วนะคะว่าอยากจะเป็นโปรแกรมเมอร์ ส่วนน้องครามลูกชายคนเล็กแม้จะเริ่มเห็นแนวทางว่าชอบในเรื่องของการเขียนโปรแกรมเหมือนกับพี่ชาย แต่แม่โอ๋ก็ยังอยากลองให้น้องครามได้ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ ก่อนที่จะสรุปว่าอยากจะเป็นอะไรกันแน่
อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงมีคำถามนะคะว่า ต้องเป็นพ่อแม่แบบไหน และพ่อแม่จำเป็นต้องมีเงินมากมายหรือเปล่าถึงจะทำ Homeschool ได้ ซึ่งคำตอบของแม่โอ๋ก็ตอบได้ชัดเจนนะคะว่า ครอบครัว Homeschool ไม่จำเป็นต้องมีฐานะร่ำรวยอะไร เพราะหากเข้าใจในระบบการศึกษานี้อย่างแท้จริง และมีความตั้งใจจริงที่จะทำตรงนี้ ก็สามารถจัดการศึกษาให้กับลูกได้อย่างแน่นอนค่ะ
สัปดาห์หน้าสอนลูกเขียนโปรแกรม By Dek-D จะพาไปพูดคุยกับบ้านเรียนพี่ใบบุญและน้องศีล อีกหนึ่งบ้านเรียนที่คุณแม่มองว่าการศึกษาในโรงเรียนสุดท้ายแล้วไม่สามารถค้นหาความชอบที่แท้จริงของเด็กได้ จึงตัดสินใจเลือกที่จะลาออกจากงานประจำ เพื่อมาจัดการศึกษา Homeschool ให้กับลูกทั้ง 2 คนด้วยตัวเอง โดยแนวทางบ้านเรียนนี้จะเน้นการส่งเสริมอาชีพให้ลูก และการเปิดโอกาสให้ลูกค้นหาความถนัดทางด้านกีฬาด้วย จะเป็นอย่างไรมาติดตามในบทความหน้าค่ะ
ขอบคุณภาพจาก FB Homeschool
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
สอนลูกด้วย Homeschool ต้องทำอย่างไร?
สอนให้ลูกมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ ในวันที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ ด้วยการศึกษาแบบ HOMESCHOOL