เพราะไม่เชื่อว่าการเรียนในโรงเรียนจะสามารถทำให้เด็กค้นหาตัวเองเจอได้ และเกิดการตั้งคำถามว่าเด็กในอนาคตต้องมีชีวิตอย่างไรกันแน่ นี่จึงเป็นที่มาของการจัดการศึกษาแบบโฮมสคูลของ แม่อ้อ นางปรียะดา ฉันทะกลาง อดกลั้น แม่ผู้จัดการเรียน Homeschool (บ้านเรียน) ในชื่อ บ้านเรียนพี่ใบบุญและน้องศีล ให้กับน้องใบบุญ ด.ญ.ปุญญิศา อดกลั้น วัย 11 ปี และ น้องศีล ด.ช.ธรรมคุณดนัย อดกลั้น วัย 5 ปี ค่ะ โดยบ้านเรียนแห่งนี้มีเป้าหมายในการทำโฮมสคูลคือ ทำอย่างไรที่จะทำให้ลูกมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้เมื่อวันที่เขาไม่มีเราอยู่
การที่ลูกมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้เมื่อวันที่เขาไม่มีเราอยู่ ต้องสอนอย่างไรบ้าง วันนี้พี่น้ำจะพาไปคุยกับแม่อ้อถึงเรื่องนี้ค่ะ
เน้นสอนทักษะชีวิต
โจทย์นี้กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่แม่อ้อพยายามหาคำตอบว่า จริงๆ แล้วการที่เด็กมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้โดยที่ไม่มีพ่อแม่ต้องมีเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งแม่อ้อก็ได้คำตอบว่า ควรจะเน้นเรื่องทักษะการใช้ชีวิต จึงทำให้การจัดการเรียนของบ้านเรียนนี้จะเน้นไปที่การทำงานบ้านในช่วงเช้าของทุกวันเป็นหลัก
“บ้านเราจะเน้นให้ทำงานบ้าน เพราะเราเชื่อหลักว่าการทำงานบ้าน คือการฝึกวินัยในตัวเอง เรารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปเข้าแถว ถ้าคุณตื่นเช้าขึ้นมาแล้วทำงานบ้านเสร็จ แล้วคุณทำกิจกรรมอื่นต่อ คุณจะเขียนหนังสือ จะเล่นเกม หรือคุณจะซ้อมดนตรีให้จบ แต่ครึ่งเช้าคุณต้องทำงานบ้านคุณให้จบ รับผิดชอบดูแลตัวเอง อันนี้เราถือว่ามีวินัยในการรับผิดชอบตัวเอง บ้านเราจะเป็นแบบนี้”
แต่หลังจากทำงานบ้านเรียบร้อย ใช่ว่าเด็กๆ บ้านนี้จะไม่ได้ได้เรียนรู้ทักษะอื่นๆ นะคะ เพราะแม่อ้อเชื่อว่าการที่ให้เด็กได้เรียนรู้ในทักษะที่หลากหลาย ทำให้เด็กค้นหาตัวเองได้ง่ายมากขึ้น
จะเห็นว่ากิจกรรมของบ้านเรียนนี้จะค่อนข้างหลากหลายนะคะ เพราะแม่อ้อมองว่าการที่ทำอะไรหลายๆ อย่าง จะทำให้เจอในสิ่งที่ชอบ และสุดท้ายจะสามารถสร้างรายได้จากสิ่งที่ชอบได้
“ด้วยความที่โลกมันเปลี่ยนไปไวมาก เราก็มีความรู้สึกว่า เราเห็นเด็ก 7-8 ขวบที่มีรายได้ กลายมาเป็นยูทูปเบอร์ เราไปเจอคนรุ่นใหมที่หารายได้ด้วยตัวเองและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาก เจอเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นผู้กำกับหนังสารคดี เราเจอเด็กรุ่นใหม่ที่เขาครีเอทงานและรักษาสมดุลชีวิตได้ มีรายได้พอเลี้ยงตัวเอง และหล่อเลี้ยงความฝันของเขาเองได้ เราว่าเขามีแนวคิดที่แตกต่างจากคนรุ่นเรา เรารุ้สึกว่าแนวคิดเขาเป็นเรื่องของสมัยใหม่ แล้วมันจะก้าวไปพัฒนาโลกได้มากกว่านี้ พอถึงรุ่นลูกเราน่าจะมีอาชีพแปลกๆ อาชีพใหม่ๆ คนจะมีอาชีพจากสิ่งที่เขาชอบมากขึ้น เราคิดว่าต่อไปนี้คนอาจจะมี 2 อาชีพ ที่มันเป็นอาชีพหลัก อีกอาชีพหนึ่งที่มันเลี้ยงความฝันของตัวเอง เราเชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่จะเป็นแบบนี้”
แล้วการเรียนรู้ทักษะหลายด้านๆ ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงไหม?
“ค่าใช้จ่ายมันก็พอควร จะไปหนักเรื่องค่าน้ำมันรถ การพาเขาเดินทาง เพราะส่วนใหญ่เราจะเน้นกิจกรรมฟรี ส่วนอุปกรณ์ที่เขาเล่นกีฬาที่ค่อนข้างแพงหน่อย เราก็เลยบอกว่าก็ต้องช่วยกันประหยัด เขาก็จะช่วยกันคิดกันว่าจะประหยัดยังไง เขาก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นเราต้องห่อข้าวไปกิน เพื่อไม่ต้องใช้เงินในแต่ละวัน นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายก็จะมีเรียนภาษาอังกฤษกับเรียนว่ายน้ำเพิ่ม มันก็จะมีค่าใช้จ่ายสี่พันบาทต่อเดือนทั้งสองคน เพราะว่าเราอยากได้ทักษะภาษาอังกฤษให้พูดสื่อสารรู้เรื่อง และมีทักษะการช่วยเหลือตัวเองเวลาจมน้ำ”
จะเห็นว่าการใช้เงินในการทำโฮมสคูลนั้นจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตในการจัดการจัดการเรียนการสอนของแต่ละบ้านด้วยนะคะ เพราะบางบ้านอาจไม่ใช้เงินมาก แต่จะเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีอยู่ในการจัดการเรียนการสอนก็สามารถทำได้ค่ะ
แผนการสอนของน้องศีลลูกชายคนเล็กจะไม่เน้นวิชาการจนกว่าจะ 7 ขวบ
สำหรับการวางแผนการสอนสำหรับน้องศีลลูกชายคนเล็ก ในช่วงนี้จะไม่เน้นอ่านเขียนจนถึง 7 ขวบ ช่วงนี้ชีวิตของน้องศีลจะเน้นกิจกรรมที่มีการออกกำลังกายเป็นหลัก ซึ่งกิจกรรมที่น้องศีลชอบมากๆ ในขณะนี้ก็คือการเล่น Skate นั่นเองค่ะ
“แม่ไม่ได้หวังว่าจะเป็นนักกีฬา แต่แม่หวังว่าจะให้ตั้งใจซ้อม อย่างน้อยก็เป็นทักษะติดตัวไป เพราะอย่างน้อยถ้ามีความรู้ ต่อไปอาจจะเปิดร้านขายอุปกรณ์ Skate ก็ได้ใครจะไปรู้ ไม่ต้องเป็นนักกีฬา แต่ให้แนะนำหารายได้จากการขายอุปกรณ์ Skate ก็ได้”
แผนการสอนของน้องใบบุญลูกสาวคนโต คือวางเป้าหมายเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายกับ “โครงการเห็ดเพื่อรองเท้า Skate”
สำหรับน้องใบบุญลูกสาวคนโต แม่อ้อจะให้ตั้งเป้าหมายในสิ่งที่อยากทำด้วยตัวเอง ซึ่งเป้าหมายของน้องใบบุญคืออยากพัฒนาการเล่น Skate ในท่าที่ยากขึ้น แต่ติดปัญหาที่รองเท้า Skate ที่ใช้อยู่ไม่สามารถพัฒนาไปทำในท่าที่ยากได้ น้องใบบุญจึงเลือกที่จะขายเห็ดเพื่อนำไปซื้อรองเท้า Skate จึงเกิดเป็น “โครงการเห็ดเพื่อรองเท้า Skate” ขึ้น
“แค่มีเป้าหมายเพื่ออะไรสักอย่าง และมุ่งมั่นกับสิ่งที่ต้องการ เป้าหมายอาจไม่ใช่คำตอบ แต่ระหว่างที่จะไปถึงเป้าหมาย มีกระบวนการเรียนรู้อยู่มากมาย นี่คือวิธีการของบ้านเรา”
จากพนักงานประจำสู่คุณแม่โฮมสคูลเต็มตัว
ต้องย้อนกลับไปในการเริ่มต้นในการทำโฮมสคูลในระยะแรกนะคะ ต้องบอกก่อนว่าบ้านนี้เริ่มแรกแม่อ้อและคุณพ่อต่างทำงานประจำด้วยกันทั้งคู่ การทำโฮมสคูลในครึ่งปีแรกแม่อ้อก็ยังไม่ได้ลาออกจากงาน แต่จะใช้วิธีการทำกิจกรรมด้วยการสลับกันดูแลภายในครอบครัว และฝากเพื่อนๆ ที่ทำโฮมสคูลช่วยกันดูแล จนสุดท้ายก็มองว่า การเรียนโฮมสคูลสิ่งสำคัญคือการมีเวลาให้กับลูก เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำโฮมสคูลเต็มตัว
“ท้ายสุดจะทำโฮมสคูลมันก็ควรจะมีเวลาให้ลูก มีช่วงเวลาหนึ่งที่คิดขึ้นมาว่า มันจะดีถ้าได้เรียนรู้ไปพร้อมเขาเพราะเรารู้สึกว่าวันที่เราเรียนรู้ไปพร้อมกับเขา มันช่วยให้เรากับเขาในการทำโฮมสคูลมันไปได้ดี เพราะเราเรียนเรื่องใหม่ๆ กับเขา บางครั้งมีคำถามถามเรามา โดยที่เราไม่คิดว่าเขาเป็นเด็กเขาจะสงสัยเรื่องแบบนี้ แต่เขาก็สงสัยจากสิ่งที่ตาเห็น แล้วเขาก็อยากรุู้คำตอบ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าเราต้องหาคำตอบร่วมกัน เราต้องเรียนรู้ไปด้วยกันกับเขาก็เลยเลือกที่จะลาออก แต่เราไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่ทุกคนจะต้องมาลาออก เพื่อทำโฮมสคูล แต่ว่าตอนนั้น เราประเมินจากตัวเราว่าเรามีอาชีพที่สอง มีรายได้ในการขายของออนไลน์ที่แม้จะไม่มากนัก แต่พอจะดูแลตัวเองและลูกในวันที่เราออกจากงานเราก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะไปได้”
จากวันที่แม่อ้อตัดสินใจลาออกจากประจำเพื่อมาทำโฮมสคูลจนครบ 1 ปี วันนี้แม่อ้อก็บอกว่า ตัดสินใจไม่ผิดค่ะที่เลือกมาจัดการศึกษาให้กับลูกด้วยตัวเอง เพราะอย่างน้อยที่สุดวันนี้ เป้าหมายที่ว่า ลูกต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างไรในวันที่่ไม่มีเราอยู่ ก็ชัดเจนขึ้น และ 1 ปีที่ผ่านมาก็ถือเป็นบันไดขั้นแรก ที่ลูกน่าจะนำไปต่อยอดและอยู่ได้ในวันที่ไม่มีพ่อแม่อยู่บนโลกใบนี้
บทความหน้าสอนลูกเขียนโปรแกรม By Dek-D จะพาไปพูดคุยกับแม่เค็น คุณแม่ที่จัดการสอน Homeschool โดยใช้การสอนแบบแนว unschooling ให้กับน้องชิงชิงและน้องอิงอิง ซึ่งในขณะนี้ลูกสาวคนโตคือน้องชิงชิงกำลังเตรียมสอบหมอ บ้านนี้ต้องวางแผนอย่างไรในการเรียนบ้าง มาติดตามในบทความหน้าค่ะ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
สอนลูกด้วย HOMESCHOOL ต้องทำอย่างไร?
10 ปีของการเรียนแบบ HOMESCHOOL สู่เส้นทางการเป็นโปรแกรมเมอร์ต้อง เตรียมตัวอย่างไร?